เครื่องหมายของมิตรภาพ

ผมโตมาในประเทศกานา ตอนเป็นเด็กผมมีความสุขที่ได้จูงมือพ่อเดินไปด้วยกันตามสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ท่านเป็นทั้งพ่อและเพื่อนของผม เพราะในวัฒนธรรมของผมการจูงมือกันเป็นเครื่องหมายของมิตรภาพแท้ เราคุยกันหลายเรื่องขณะเดินไปด้วยกัน เวลารู้สึกเหงา ผมได้รับการปลอบโยนเมื่ออยู่กับพ่อ มิตรภาพของเราจึงมีค่ามากสำหรับผม

พระเยซูเรียกสาวกว่า มิตรสหาย และสำแดงให้พวกเขาเห็นเครื่องหมายของมิตรภาพหลายประการ เช่น “พระบิดาทรงรักเราฉันใดเราก็รักท่านทั้งหลายฉันนั้น” (ยน.15:9) ทรงสละชีวิตเพื่อพวกเขาได้ (ข้อ 13) แสดงให้พวกเขาเห็นราชกิจเพื่อแผ่นดินของพระองค์ (ข้อ 15) สอนพวกเขาให้รู้ทุกสิ่งที่ทรงได้รับจากพระบิดา (ข้อ 15) และให้โอกาสพวกเขาได้มีส่วนในภารกิจของพระองค์ (ข้อ 16)

พระเยซูเดินไปกับเราเป็นเพื่อนตลอดชีวิต ทรงรับฟังความเจ็บปวดใจและความปรารถนาของเรา ยามเหงาและท้อใจ ทรงอยู่เป็นเพื่อนเราเสมอ

มิตรภาพระหว่างเรากับพระเยซูจะแน่นแฟ้นขึ้น เมื่อเรารักซึ่งกันและกัน และเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ (ข้อ 10,17) เมื่อเชื่อฟังพระบัญชา เราจะเกิดผลที่ “คงอยู่” (ข้อ 16)

เมื่อเดินผ่านตรอกซอยที่แออัดและหนทางอันตรายในโลกที่วุ่นวายนี้ เราวางใจในพระเจ้าผู้ร่วมทางของเราได้ นี่คือเครื่องหมายว่าพระองค์เป็นเพื่อนของเรา

เดินในความสว่าง

ความมืดปกคลุมหมู่บ้านป่า ดวงจันทร์ลับไป ฟ้าแลบทั่วท้องฟ้า พายุฝนและฟ้าร้องดังสนั่น ผมยังเป็นเด็กรู้สึกตื่นกลัว จินตนาการว่าจะถูกสัตว์ประหลาดตะครุบ แต่เมื่อถึงยามเช้าเสียงดังก็หายไป ดวงอาทิตย์ขึ้น ความสงบกลับมา หมู่นกประสานเสียงกลางแดด ความมืดอันน่ากลัวยามค่ำคืนกับความชื่นชมยินดีภายใต้แสงแห่งวันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

กระจกเงาและผู้ฟัง

เจ้าภาพที่มารับผมที่โรงแรมในกัมปาลา ประเทศยูกันดา เพื่อไปงานสัมมนามองผมด้วยรอยยิ้มขบขัน “มีอะไรหรือครับ” ผมถาม เธอหัวเราะแล้วถามว่า “คุณหวีผมหรือยังคะ” ผมหัวเราะ เพราะผมลืมหวีผมจริงๆ ผมส่องกระจกแล้ว แต่ทำไมจึงไม่สังเกตเห็น

คริสต์มาสที่อ้างว้าง

คริสต์มาสที่อ้างว้างที่สุดในชีวิตของผม เกิดขึ้นที่กระท่อมของตาใกล้ซาโคกุ ทางตอนเหนือของประเทศกานา ผมอายุ 15 ปีและพ่อแม่พี่น้องก็อยู่ห่างออกไปพันกิโลเมตร ปีก่อนหน้านี้ เมื่อผมได้อยู่กับครอบครัวและเพื่อนในหมู่บ้าน คริสต์มาสจะใหญ่โตและน่าจดจำเสมอ แต่คริสต์มาสปีนี้เงียบเหงาและอ้างว้าง ขณะที่ผมนอนเล่นบนเสื่อในเช้าวันคริสต์มาส ผมคิดถึงเพลงพื้นบ้านที่ว่า ปีสิ้นสุดลง คริสต์มาสมาถึง พระบุตรพระเจ้าบังเกิดสันติสุขและความชื่นบานแด่ทุกคน ผมร้องซ้ำๆ อย่างเศร้าๆ

ทรงอยู่ด้วย

พ่อผู้กังวลและลูกชายวัยรุ่นนั่งอยู่ต่อหน้าคนทรง “ลูกของคุณจะเดินทางไกลแค่ไหน” คนทรงถาม “ไปเมืองใหญ่” พ่อตอบ “และเขาจะไปนานมาก” คนทรงยื่นเครื่องรางนำโชคให้แก่ผู้เป็นพ่อ กล่าวว่า “สิ่งนี้จะปกป้องเขา ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน”

มากกว่าคำพูด

ในการนมัสการเฉลิมฉลองพระคัมภีร์ที่แปลเป็นภาษาแอฟริกัน หัวหน้าเผ่าได้รับพระคัมภีร์ 1 เล่ม เขาดีใจมากชูพระคัมภีร์ขึ้นฟ้าและประกาศว่า “ตอนนี้เรารู้แล้วว่าพระเจ้าเข้าพระทัยภาษาของเรา เราสามารถอ่านพระคัมภีร์ในภาษาแม่ได้แล้ว”

สร้างสะพาน

แถวบ้านผมแต่ละบ้านมีกำแพงคอนกรีตสูงล้อมรอบ หลายบ้านต่อลวดหนามไฟฟ้าบนกำแพง จุดประสงค์ก็เพื่อกันขโมย

พระองค์ทรงรู้จักเรา

พระเจ้าทรงทราบไหมตอนที่ผมขับรถร้อยกว่ากิโลกลับหมู่บ้านตอนกลางคืน ตอบได้ยากจากสภาพที่ผมเป็น ผมมีไข้สูงและปวดหัว ผมอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย แต่ข้าพระองค์กำลังทรมาน!"

ปลดปล่อยให้เป็นไท

ตอนที่ผมเป็นเด็กอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน มีสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับไก่ที่ผมชื่นชอบเมื่อผมจับไก่มา ผมจะกดมันไว้ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ ปล่อยมือออก ไก่มันคิดว่าผมยังจับตัวมันไว้มันจึงนิ่งอยู่อย่างนั้น แม้ว่ามันเป็นอิสระแล้วแต่มันยังรู้สึกว่าถูกจับอยู่

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา